บล็อกนี้ขอเขียนเป็นไดอารี่เล่าเรื่องการต่อสู้ยาว
9 เดือน
ของเด็กม.ปลายตาดำๆที่พยายามเข้าคณะแพทย์ที่ใฝ่ฝัน
คือเราก็เป็นคนตั้งใจเรียนมาตลอด
(ดูวิธีเรียนของเราได้ที่ how to survive highshool ) แต่ 9
เดือนนี้เป็นช่วงเวลาเก็บตัว
อ่านหนังสือสุดชีวิต
นั่งคุยกับเพื่อนในกลุ่ม
สรุปว่าตอนนี้เรามีเวลาเหลือ
6 เดือน
สิงหาสอบรับตรงแพทย์ mdx
ของมข.
8 เดือน
พฤศจิกาสอบแกทแพท /
ความถนัดแพทย์
/แพทย์เรียนดี
ม.ช.
9 เดือน
ธันวาสอบโควตา ม.ช.
10 เดือน
มกราสอบ กสพท
11 เดือน
กุมภาสอบโอเนต
(ปีที่เราสอบ (2558) ถ้าอยากเข้าแพทย์/ทันตะ
วิธีที่ 1 คือ
ต้องสอบความถนัดแพทย์ คะแนน
30% และสอบ 7
วิชาสามัญ คะแนน
70% โดย กสพท
หรือวิธีที่
2 คือสอบรับตรงของมหาลัยต่างๆ
ใช้ข้อสอบของมหาลัยเอง
เช่น เรียนดีม.ช.
mdx ม.ข.
ที่สอบได้ทั้งประเทศ
ส่วนใหญ่กำหนดเกรด 3.50-
3.75 ขึ้นไป
ถ้าอยากเข้าคณะอื่นๆ
วิธีที่ 1 คือการแอดมิสชั่น
ต้องยื่นเกรด ม.ปลาย
คะแนน แกทแพท คะแนนโอเนต
(แล้วแต่
แต่ละคณะกำหนด)
หรือสอบรับตรงตามมหาลัยต่างๆ
หรือบางมหาลัยให้ยื่นเฉพาะคะแนนบางอย่างเช่นแกทแพทอย่างเดียว
7วิชาสามัญอย่างเดียว)
เราเคยอ่านกระทู้นึงในเด็กดี
มีพี่คนนึงกลับมาจากไปแลกเปลี่ยนตอนม.6
แล้วไม่ซ้ำชั้น
เลยมีเวลาเตรียมตัวสอบแค่ไม่กี่เดือน
พี่เขาเอาหนังสือทั้งหมดที่จะอ่านมารวมกัน
นับจำนวนหน้าแล้วหารด้วยจำนวนวันที่เหลือ
แล้วอ่านหนังสือตามจำนวนหน้าที่หารได้ต่อวัน
เราเลยเอามั่ง ของเราจะต้องอ่านวันละประมาณ
50-70 หน้า
ก็อ่านไป
ไม่ลงไปกินข้าวโรงอาหารเลย
ห่อข้าวไปรร.ทุกวัน
ทุกพักก็นั่งกินกับเพื่อนแล้วอ่านหนังสือไปด้วย
ในห้องเสียงดังมาก
งงๆอยู่ว่าคนอื่นเขาไม่อ่านหนังสือกันเหรอ
แต่เราไม่สนใจว่าใครทำอะไร
ไม่ทำอะไร เรามีเป้าของเรา
เราทำสิ่งที่เราต้องทำแค่นั้น
เมษา 57
ก็ยังอ่านหนังสือตามจำนวนหน้าไป
เพิ่งรู้ว่าบางทีก็อ่านตามจำนวนหน้าไม่ได้จริงๆ
คณิต 60 หน้ากับสังคม
60 หน้ามันไม่เหมือนกัน
บางวันทำโจทย์คณิต 40-50 หน้า
ปวดหัวมาก
คืนนึงฝันว่าทำโจทย์คณิตอยู่แล้วทำไม่ได้
รู้สึกเลยว่าตัวเองลุกขึ้นมานั่ง
ยกมือขึ้นเขียนบนอากาศคิดเลข
อึดอัดมากเพราะคิดไม่ออก
สุดท้ายรู้ตัวว่าเป็นฝันเลยนอนต่อ
ช่วงนี้บทสนทนายอดฮิตคือ
แกอ่านหนังสือยัง แกอ่านยังไงอ่ะ
เครียดเนอะ
พฤษภา
57
อ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆ
เริ่มไม่ได้ 50-70 หน้าต่อวันละ
ได้แค่เท่าที่ได้ ซึ่งไม่คืบหน้าเลย
บางทีเสียเวลาเป็นอาทิตย์กับคณิตบทเดียว
ช่วงนี้เครียดมาก 1 คือ
เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าอยากเรียนแพทย์จริงมั๊ย
2 จะติดมั๊ยนะ
เวลามีเพื่อนมาถามอะไรแล้วตอบไม่ได้
รู้สึกแย่มาก จะสอบอยู่แล้วยังไม่รู้อีก
ทำไงดี ยังต้องอ่านต้องทวนอีกเยอะเลย
เครียด บางทีคิดเรื่องสอบมากๆ
เราก็ปวดหัวขึ้นมา
หายใจหอบเหมือนคนหายใจไม่ออก
เหงื่อออกเต็มมือ
แล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
พอใครเห็นก็มาปลอบเราว่า
แกติดอยู่แล้วกลัวอะไร
ถ้าแกรู้ว่าจริงๆแล้วชั้นก็ไม่ได้เก่งอะไรมากแกจะไม่พูดแบบนี้หรอก!
มิถุนา
57
ตอนนี้เรามีเทคนิคใหม่มาหลอกล่อตัวเองให้อ่านหนังสือ
เราเคยอ่านมาจาก ormschool
(www.ormschool.com)
ว่าความแตกต่างของคนที่สอบติดและสอบไม่ติดอยู่ที่การอ่านหนังสือ
500 ชม
เราเลยทำตารางจดว่าวันนี้เราอ่านได้กี่ชม
รวมทั้งหมดกี่ชม เป็นวิธีที่ดี
เพราะ ต่อไป วันไหนเราเขียนตัวเลข
น้อยๆ แบบ 0 1 2
ลงไปเราจะรู้สึกผิดมากจนต้องอ่านเพิ่มอีกวัน
กรกฎา
57
เล่นๆไม่ได้แล้วคราวนี้ของจริง
อีก 40 กว่าวันสอบมข.!
เราเอากระดาษมาเขียนแผน
7 วิชา ตกวิชาละ
6 วันกว่าๆ
ตอนนี้เรายังอ่านหนังสือไม่จบ
แต่อ่านยังไงก็ไม่จบแล้วตอนนี้ต้องทำข้อสอบอย่างเดียว
หนังสือข้อสอบมข.หายากในเชียงใหม่
แต่เราก็ไปคุ้ยๆมาได้จากห้องสมุด
และแบ่งกับเพื่อนซื้ออีกคนละ
2-3 เล่ม
เราทำภาษาอังกฤษก่อนเพราะเป็นวิชาที่สบายใจที่สุด
แล้วทยอยทำเรื่อยๆแต่ละวิชา
รู้สึกว่าบางวิชายากมากเพราะเรายังไม่ได้ทวนดีๆ
เสียดายเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
เราพกสมุดเล่มเล็กติดตัวตลอดเวลา
ในสมุดจดเรื่องที่เราจำไม่ได้ซักที
หรือข้อสอบที่เราเคยทำผิด
แล้วเราก็เปิดอ่านตลอดเวลาที่ทำได้แม้กระทั่งตอนเข้าแถวตอนเช้า
สิงหา
57
ทำข้อสอบทุกวิชาแล้ว
เแต่คณิตที่ทำไม่ครบทุกปี
รู้สึกว่ามันยากมาก เนื้อหาเยอะ
เป็นครั้งแรกเลยที่เรารู้สึกว่าคณิตยาก
ความจริงคือตอนนี้รู้สึกว่าทุกวิชายากหมด
ฟิสิกส์ได้อ่านนิดเดียวต้องโทษตัวเองที่ไม่ชอบฟิสิกส์จนยกไปอ่านหลังสุด
สังคมได้ข้อสอบมาแค่ 2
ปีก็ทำแค่นั้น
ยังไม่ได้อ่านสังคมเลย
ความมั่นใจอยู่ไหน
เรานั่งรถตู้ไปสอบกับเพื่อนนับ
10 ชีวิต
ไม่รู้ว่าปกติขอนแก่นเป็นไง
รู้แต่ตอนนี้ นักเรียนเต็มไปหมดเลย
นักเรียนเทพ 3.5
ขึ้นจากทั่วประเทศประมาณ
5 พันกว่าคนมาอยู่นี่กันหมดเลย
คุณพระ คิดๆดูแล้วสัดส่วนที่รับ
1 ต่อ ร้อยกว่า
ยิ่งกว่าคัดนางสาวไทย
แม่ให้กำลังใจดีมาก แม่บอกว่า
5 พันคน โอ๊ยย
ยังไงไม่ติดหรอก คิดว่าสอบขำๆ
ตุลา 57
รอบข้อเขียนรับ
300 คน...เราไม่ติดจริงๆ
อีก 0.9 คะแนนจะติดแล้ว...
ในชีวิตจริง มีแค่ติด
กับไม่ติด เกือบติด
ไม่มีความหมายอะไรหรอก
ปลอบใจตัวเองว่าเอาเถอะ
อย่างน้อยเราก็เป็นคนที่
301 ของประเทศมั้ง
เข้าใจวันนี้เองว่า
ที่เขาพูดกันว่าไปลองข้อสอบน่ะ
ไม่ใช่เพื่อดูข้อสอบอย่างเดียวหรอก
ถ้าแค่นั้นซื้อหนังสือมาก็ได้
ไม่ต้องนั่งรถไปกลับตั้งหลายชม
เสียค่าใช้จ่ายตั้งเยอะหรอก
ที่สำคัญคือการได้รู้ว่าเราเก่งแค่ไหนเทียบกับคนอื่นๆที่เป็นคู่แข่งต่างหากล่ะ
อ่านหนังสือหนักกว่าเดิม อ่านทวนเกือบหมดทุกวิชาแล้ว
ลองทำข้อสอบโทอิคออนไลน์
1 ชุด ก่อนไปสอบ
(ต้องใช้คะแนนยื่นสมัครสอบแพทย์เรียนดีภาษาอังกฤษ
ม.ช.) คะแนนค่อนข้างดี
เราอ่านเตรียมสอบเฉพาะแพทย์มาหลายเดือนแล้ว
ความจริง เริ่มๆตั้งแต่ม.5
แต่มาเดือนนี้จริงจังมาก
เราไม่ได้เรียนพิเศษที่ไหน
แต่ทำข้อสอบทุกเล่มเท่าที่หาได้
ข้อสอบจริยธรรมเฉลยไม่เหมือนกันซักเล่ม พาร์ทคำนวน
ตรรกะก็พอทำได้
แต่ส่วนที่เราหวังเก็บคะแนนคือส่วนเชื่อมโยง
ที่เหมือนแกทแต่ยากกว่า
พฤศจิกา
57
ป่วยๆหายๆอยู่หลายอาทิตย์
ข้อสอบแพท ทำได้ไม่ดีเลย
มันยากมาก!!
ปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้ใช้เพราะจะต้องเข้าแพทย์ให้ได้
การอ่านหนังสือนี่ใช้พลังใจสูงมาก ตอนอ่านหนังสือเราฟังเพลงไปด้วย
ฟังอยู่ 3 เพลงวนไปวนมา
Hall of fame - The Script
The Fighter - Gym Class Heroes
Lose yourself - Eminem
แม่ถามบ่อยๆว่าอ่านเยอะไปป่าว
พักบ้างก็ได้นะ
ถึงไม่ติดหมอแม่ก็ไม่ว่าไรหรอก
แต่เราไม่ได้อยากติดหมอ...เพราะแม่อยากให้ติด เราอยากติด
เพราะอยากเรียน เพราะอยากเป็นหมอ
เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีการอ่านหนังสือเยอะไป
สอบแพทเสร็จไม่กี่วันก็สอบแพทย์มช
โครงการเรียนดีต่อ ข้อสอบยากเพราะเป็นข้อเขียนหมดเลย
ประยุกต์เยอะมาก ต้องสอบ
คณิตกับวิทย์ ท้อจริงๆ
จะไม่ไปสอบแล้ว ยังไงก็ไม่ติด
แม่เห็นฟุ้งซ่านมากเลยพาไปไหว้พระ...
พ่อกับแม่อัดฉีดซื้อเค้กให้กินอยู่เรื่อยๆแก้เครียด
สุดท้ายก็ไปสอบ
ทำข้อสอบเท่าที่ทำได้ซึ่งก็คือแค่ชีวะ
กับคณิต (ดันออกแคลคูลัสของชอบพอดี!!)
เคมี ฟิสิกส์ นิดหน่อย
วันประกาศผลแพทย์มช
โครงการเรียนดี
...
...
ติดข้อเขียน!!
...
...
...
...
ติดข้อเขียน!!
...
...
ผมนี่น้ำตาไหลเลยครับ!
#ร้องไห้หนักมาก
เพิ่งรู้ว่าอยากเรียนแพทย์มากจริงๆตอนที่น้ำตาไหลมาเองนี่แหละ
เหย จะได้เป็นหมอจริงเหรอ...!!
พ่อกับแม่พาไปกินข้าว
เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในรอบ
8 เดือน ที่ผ่านมาเครียดกินข้าวไม่อร่อยเลย
ธันวา
57
เวลาตื่นเต้นเราจะพูดมาก
มากๆ และวันสัมภาษณ์...นางสาว
ธารริน พูดมากที่สุด
ก่อนจะเริ่มอาจารย์ขึ้นมากล่าวต้อนรับ
พูดถึงประวัติ ม.ช.
ประวัติคณะแพทย์
ชื่อเสียงของ หมอม.ช.
ชมนักเรียนที่เรียนดี
สอบผ่านเข้ามาได้ สุดท้ายอาจารย์
เก็ท ทู เดอะ พอยต์
“ที่พูดมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกว่า
ถ้าติดที่นี่...กรุณาเรียนที่นี่นะครับ...
อย่าไปจุฬา อย่าไปมหิดล
เรียนที่นี่
กระผมจะขอใช้โอกาสนี้แย่งชิงตัวนักศึกษากันอย่างหน้าด้านๆเลย
ขอบคุณครับ”
วันประกาศผล
ประกาศตอน 4 โมง เรานั่งไม่ติดเลย
ถูบ้านๆๆ ถูซ้ำที่เดิมเหมือนคนไม่มีสติ
จนสุดท้ายประกาศก็เป็นดังนี้
สิ้นสุดการต่อสู้ (9 เดือน 11 วัน)
ที่พร่ำเพ้อมาทั้งหมดนี้เพราะอยากให้รู้ว่า เราก็เครียด ก็ท้อเหมือนกับเด็กม.6 ทุกคน เราก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน อาศัยแค่ความตั้งใจ อยากให้รู้ว่ากว่าจะสอบติดไม่ง่าย...
สรุปวิธีที่ดีสำหรับการเตรียมตัวสอบมหาลัย
สรุปวิธีที่ดีสำหรับการเตรียมตัวสอบมหาลัย
1.ดูว่าต้องสอบอะไรบ้าง
ต้องใช้แกท แพทอะไรบ้าง 7
วิชาด้วยมั๊ย
2.วางแผนดีๆ
ว่าต้องเตรียมอ่านอะไร
มีเวลาเท่าไหร่
กำหนดช่วงเวลาที่จะอ่านแต่ละอย่างให้ชัดเจน
(อ่านหนังสือนี่หมายถึง ทำข้อสอบเก่า
ทำโจทย์ด้วย) แล้วก็ทำตามแผน
อย่าเยิ่นเย้อ แต่แผนก็ต้องดูลิมิตตัวเองด้วย
อย่าให้หนักเกินไปจนทำจริงไม่ได้
3.เริ่มอ่านหนังสือเร็วๆ
ความจริงคือควรตั้งใจเรียน
อ่านทบทวนมาตลอด
แต่ถ้าตอนนี้ใครกำลังคิดว่า
โอเค พรุ่งนี้จะอ่านหนังสือแล้วล่ะก็
ให้เปลี่ยนเป็นอ่านวันนี้
เดี๋ยวนี้เลย
อ่านหนังสือนะไม่ใช่แต่งงานต้องมีฤกษ์
4.ต้องหาเวลาอ่านหนังสือให้มาก
ถ้าติดมือถือ ติดละคร ติดเที่ยว
ติดเพื่อนมากจนเวลาเหลือน้อยต้องหยุด
ถามว่าเราอ่านตลอดเวลา
เก็บตัวในห้องมั๊ย เปล่า
เราเป็นเด็กเนิร์ดชอบปาร์ตี้ที่แบ่งเวลาได้
5. ทำโจทย์
ทำแบบฝึกหัด ทำข้อสอบเก่าเยอะๆ
สำคัญมาก ถ้าไม่ทำที่อ่านๆไปจะลืม
แนะนำให้อ่านทวนก่อนรอบนึงแล้วค่อยทำโจทย์
เพราะไม่งั้นจะทำโจทย์ไม่ได้อยู่ดี(ถ้าเนื้อหาไม่แน่น)
6.วิเคราะห์ข้อสอบ
ดูข้อสอบเก่าว่าเค้าชอบออกอ ะไร บ้างรื่องไหนเค้าออกเยอะมาตลอด ก็ทำให้ดี ดูว่าเรื่องไหนที่เราถนัด
ไม่ถนัด จะกวาดคะแนนได้จากตรงไหน เรื่องไหนมันไม่ได้จริงๆไม่มีเวลาแล้วก็ช ่างมันทิ้งเลย เอาเวลาไปอ่านเรื่องที่รู้แล้ว 50 % ให้เป็น 100 % ง่ายกว่าเริ่มจาก 0 ให้เป็น 100 (แต่ไม่ใช่ทิ้งตั้งแต่แรก
5555 เรื่องไหนไม่เข้าใจก็ไปทำให้เข้าใจสิ
ถามเพื่อน ถามครู อ่านหนังสือไป)
7.คลายเครียดตัวเองบ้าง
นอนให้พอ ออกกำลัง กินอาหารดีๆ
ดูแลสุขภาพ อย่าให้ป่วยโดยเฉพาะวันที่สอบ
8. อย่าเสียเวลาท้อ
อย่าเพิ่งมาสงสัยความสามารถตัวเองตอนนี้
ทุ่มไปเลย
อย่ามาบอกว่า
“พี่ ท้อมาก สอบอะไรก็ไม่ติด
ไม่อยากสู้แล้ว ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว”
เพราะพี่จะตอบว่า
“ไม่อ่านก็ไม่ติด จบ!
คิดว่าเก่งนักไง?
ข้างนอกนั่นมีคนเก่งกว่า
ขยันกว่า สู้กว่านั่งอ่านหนังสืออยู่
ไหนว่า I have a dream มีแผนจะไปอ้อนวอนเกาะขาเขา
ร้องห่มร้องไห้บอกเขาว่าหนูอยากเรียนมากจริงๆ
ให้เขารับเหรอ
พ่อแม่ทำงานหนักกว่านี้เยอะไม่เห็นบ่นท้อ
ไปอ่านหนังสือเลย!”
9.ให้กำลังใจตัวเอง
สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ
เข้มแข็งไว้ บอกตัวเองว่าทำได้สิ
คนขี้เกียจน่ะนานๆไปจะกลายเป็นคนขี้แพ้
ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง
ไม่ใช่กาแฟหรอกที่จะทำให้ตื่นตอนอ่านหนังสือ
ความมุ่งมั่นต่างหาก
10.ไปวัด
ทำใจให้สบาย พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิอะไรก็ว่าไป
11.ไปสอบซะ อย่าคิดว่าไม่พร้อม
สอบไปก็ไม่ติด เพราะทุกคนก็ไม่มีใครพร้อม
100% ทั้งนั้นแหละ
เราแค่ต้องไป แล้วทำให้ดีที่สุด
กอด : )
พี่ป๊อป
ติดตามบล็อกต่อไปได้ที่ https://www.facebook.com/Tanrinh