วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

How to survive high school เอาชีวิตรอดจากม.ปลายด้วยเกรดดีๆ


เจ้ต้องกินอะไรถึงจะได้เหมือนเจ้ เจ้อ่านหนังสือยังไง ป้าเอาเวลาที่ไหนนอน พี่ทำยังไงให้ได้ 4 ทำยังไงให้ติดหมอ ...  เรื่องมันยาวนะแก อยากฟังนั่ง!

ขอเรียกบทความนี้ว่า คู่มือเอาชีวิตรอดจากม.ปลาย 101 ต้องใช้คำว่าเอาชีวิตรอดเพราะเด็กม.ปลายจะรู้ว่า ม.ปลายมันหนักมาก เทียบกับชีวิตการเรียนที่ผ่านมาทั้งหมดของเรา  เราไม่เคยมีกิจกรรมเยอะขนาดนี้ ไม่เคยเรียนยากขนาดนี้ ไม่เคยสอบทุกอาทิตย์ ไม่เคยต้องทำการบ้านสั่งวันนี้ส่งพรุ่งนี้ ตอนม.4 ครั้งแรก เครียดมากบอกเลย งง! รู้สึกเป็นเด็กตัวเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่ มีกล้องแพนตามเหมือนหนังชีวิต ไม่รู้จะทำไงดี เรียนก็ไม่รู้เรื่อง การบ้านก็ไม่เสร็จ นอนก็ไม่ได้นอน เพื่อนก็พากันเครียดไม่คุยด้วย ใครๆก็บอกว่าสู้ๆ แต่อยากจะถามกลับว่า... สู้อะไร แล้ว..แล้วสู้ยังไงล่ะคะพี่?!  แต่ทั้งหมดนั้นมันผ่านไปแล้วค่ะ วันนี้รู้แล้วว่าต้องทำยังไง ออกตัวก่อนเลย พี่ไม่ใช่คนเก่งมาก อาศัยความขยัน 
** ความจริงหมั่นไส้ตัวเองนิดๆที่เขียนอะไรแบบนี้ แต่คิดว่าถ้าที่เขียนไปพอช่วยอะไรได้คนที่อ่านบ้างซักคน 2 คน ก็คงดี

โอเคเริ่มเลย ทำยังไงให้ได้เกรดดีๆ มีความสุข ไม่เสียสุขภาพ

1.มีความสุขกับสิ่งที่เรียน
เลือกสายที่ชอบ เลือกเรียนสิ่งที่มีความสุข บางคนเรียนสายวิทย์เพราะเรียนได้ ไม่ใช่เพราะชอบเรียน สุดท้ายสายวิทย์เลือกสอบเข้าคณะศิลป์ได้ก็จริง แต่คิดถึง 3 ปีที่ต้องทนทรมานกับ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สำหรับคนที่ไม่ชอบสิ

2.เลิกอคติ
เลิกคิดซักทีว่า คณิตมันยากเกิน เรามันโง่อังกฤษ ชีวะเยอะขนาดนี้ไม่มีทางจำได้ เลิกดูถูกตัวเองซักที ยังกับว่าโลกนี้มีคนชอบดูถูกคนอื่นไม่พอ ถ้าคนอื่นเขาทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะทำไม่ได้ หรือถ้าคนอื่นเขาทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไม่ได้เหมือนกัน ถ้าอยากได้ 4 ถ้าอยากติดหมอ วิศวะ หรืออยากทำอะไรก็ตาม ปล่อยให้ตัวเองอยากทำ แล้วทำซะ ไม่มีใครเกิดมาแล้วเก่งเลย คนที่เค้าเก่งๆเค้าก็ต้องสู้กันทั้งนั้นแหละ เลิกบ่นได้แล้วนะ

3.หาเพื่อนดีๆ
เพื่อนที่ขยัน ตั้งใจเรียนจะดึงให้เราขยันไปด้วย ตัวพี่เองชอบอ่านหนังสือกับเพื่อน มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามกัน แบ่งหนังสือ แบ่งโน้ตกันดูตลอด ถ้าใครมีเพื่อนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน (ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนไม่ดี) ก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี กระตุ้นเพื่อนให้เรียนบ้าง ให้กำลังใจเพื่อนหน่อย


4.วางแผน จัดตารางเวลาดีๆ
พี่จะมีสมุดแพลนเนอร์ติดตัวตลอด ไอเดียนี้ได้มาจากตอนอยู่อิตาลี เด็กอิตาลีทุกคนจะคอยจดว่าต้องทำอะไรบ้าง ซ้อมกีฬากี่โมง การบ้านส่งวันไหน วันนี้ต้องอ่านอะไร มันเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนคิดไม่ถึง ถ้ามีเรื่องต้องทำเยอะๆจนปวดหัว เขียนเป็นข้อๆแล้วทำทีละอย่าง มันจะดูน้อยกว่าที่คิดเยอะ แถมเรื่องส่งงานไม่ทัน ลืมการบ้านก็ตกไป เนี่ยแหละทำให้พี่ทำกิจกรรมนู่นนี่เยอะๆได้โดยที่เกรดไม่ตก


5.ตั้งใจเรียนในห้อง
ทุกคนก็พูดแบบนี้ เพราะมันเป็นแบบนี้ไง 555 เชื่อเจ้เถอะ เจ้ขอ บางคนคิดว่าในห้องไม่สำคัญ เรียนพิเศษเป็นหลัก เวลาหลับคือในห้อง ความจริงเรื่องที่ครูออกสอบก็คือเรื่องที่ครูสอนในห้องนั้นแหละ อย่าเพิ่งบ่นว่าครูสอนไม่รู้เรื่อง ลองพยายามตั้งใจจริงๆ แล้วพอตรงไหนไม่เข้าใจก็ยกมือถาม ถ้ากลัวเพื่อนหมั่นไส้ก็รอท้ายคาบ ไม่ต้องกลัวครูหรอก ยิ่งครูเห็นความพยายามของเรายิ่งอยากช่วย
*มุมที่เรียนรู้เรื่องที่สุดคือหน้าห้อง มันไม่ใช่โซนกัมมันตรังสี อย่ากลัว!

6.อ่านไปก่อน
ทำตามข้อนี้ต่อไปเรียนรู้เรื่องแน่นอน
พี่จะดูบทต่อไป หรือถามครูตลอดว่าพรุ่งนี้เรียนเรื่องอะไร (ถ้าครูบอกให้อ่านหน้านี้ถึงหน้านี้ ให้อ่านเผื่อไปเลยทั้งบท)แล้ววันนี้กลับบ้านก็ไปอ่านมาก่อนให้เข้าใจ ตรงไหนไม่เข้าใจก็ดูหนังสือเล่มอื่น ถามกูเกิล ถ้ายังงงอีกก็มาร์คไว้เอาไว้ถามครูพรุ่งนี้ พออีกวันมาเรียนก็จดโน้ตเท่าที่จำเป็น จดเฉพาะอันที่เรายังไม่รู้ อย่าตะบี้ตะบันจดอย่างเดียวจนไม่ทันฟัง พอกลับไปอ่านจะไม่รู้เรื่องอยู่ดี

7.ทำโน้ตสรุปย่อของตัวเอง
สำหรับพี่นะ การได้เขียนเป็นคำพูดตัวเองทำให้พี่เข้าใจจริงๆ เพราะถ้าสรุปเป็นคำพูดตัวเองไม่ได้แสดงว่ายังไม่เข้าใจจริง แล้วการเขียนก็ทำให้พี่จำได้มากขึ้น ทำแบบไหนก็ได้เป็น mind map หรือ จดธรรมดา วาดรูป สีสันอลังการยังไงก็ได้ เอาที่สบายใจ แต่ที่สำคัญคือมันต้องเป็นโน้ตย่อ จับใจความสำคัญ เวลาเห็นคีย์เวิร์ด เราต้องมีรายละเอียดขึ้นมาเองในใจ ไม่ใช่เขียนทั้งหมด เคยเห็นของเพื่อนคนนึงแทบจะลอกมาจากหนังสือทุกคำ สุดท้ายก็อ่านไม่ทัน จำไม่ได้ ก็มันเยอะเกิน!


อีกอย่างที่อยากแนะนำคือ Flash Card กระดาษที่ด้านนึงอาจจะเขียนหัวข้อ เขียนคำถาม แล้วด้านหลังก็เขียนคำตอบแผ่นเล็กๆ เอาไว้ทายตัวเอง ทายเพื่อน พกไปไหนก็ได้ ช่วยจำ


8.อ่านทวนตลอด
พอกลับมาบ้านรีบทำโน้ตสรุปเรื่องที่เรียนเลยแล้วก็อ่านทวนทันที ไม่ใช่แค่ทวนของวันนี้แต่ทวนของวันอื่นๆที่เรียนไปด้วย เจ้มันเยอะนะ! แต่ฟังก่อน เวลาอ่าน ก็อ่านโน้ตน้อยๆของเราไง แล้วจะบอกให้ว่าเวลาทวน มันจะใช้เวลาน้อยลงเรื่อยๆ ถึงวันนึงเปิดมาเห็นแค่หัวข้อ เราจะนึกภาพทั้งหมดออก

9.ติวเพื่อน
ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า 'ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ แสดงว่าคุณไม่เข้าใจสิ่งนั้นดีพอ' ยิ่งให้ยิ่งได้ เป็นเรื่องจริง พี่ติวเพื่อนมาตั้งแต่ประถม ตอนมัธยมปลายยิ่งเอาใหญ่ ถึงขั้นขึ้นกระดานหน้าห้องหลังเลิกเรียน จนเพื่อนเรียกอาจารย์ 555 ติวเพื่อนมันดีตรงที่เราได้อธิบายให้เพื่อนฟัง ยิ่งพูดหลายๆรอบยิ่งจำแม่น ถ้าเข้าใจอะไรผิด เพื่อนก็แก้ให้ ถ้ามีเรื่องอะไรที่เพื่อนถามแล้วเราไม่รู้ก็จะได้หาคำตอบด้วยกัน

10.แบ่งเวลาอ่านหนังสือไว้ตลอด
อย่ามัวแต่ทำการบ้านจนลืมอ่านหนังสือนะครับ รุ่นพี่คนนึงบอกไว้ ซึ่งจริงมาก แกการทำการบ้าน กับอ่านหนังสือทวนเรื่องที่เรียนมันแทนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นแบ่งเวลาอ่านหนังสือไว้ด้วย
วันนึงเจ้ทำอะไรบ้าง เจ้อ่านหนังสือตอนไหนล่ะ...?

วันทั่วๆไป

5.45 ตื่น
 6.00-7.00 อ่านหนังสือ
7.00-7.40 กินข้าว,ไปโรงเรียน (บ้านใกล้ ไม่เคยไปสาย แค่ต้องวิ่งนิดหน่อย)
8.00-16.00  เรียนที่โรงเรียน ทำการบ้าน/อ่านหนังสือช่วงพัก
16.00-18.30 เรียนพิเศษ (บางวัน) หรืออ่านหนังสือถ้าไม่มีเรียน
18.30-19.30 ออกกำลัง อาบน้ำ กินข้าว
19.30-20.00 ทำการบ้าน ทำงานที่เหลือ
20.00-22.00 อ่านหนังสือ
นี่ไงเวลาอ่านหนังสือ วันละ3-6 ชม.แล้ว! ไม่เห็นต้องอยู่ถึงตี 1 ตี 2 เลย


12.ดูแลตัวเองหน่อย
นอนซะนอน อย่าเอาเวลานอนไปอ่านหนังสือ อย่าเอาเวลาอ่านหนังสือไปทำอย่างอื่น
Sleep is for the weak 555 โอเคการไม่หลับไม่นอนมันปาร์ตี้ต่อได้ แต่มันเรียนไม่ได้ ถ้าไม่นอนยังไงก็หลับในห้อง อ่านหนังสือก็ง่วง ปวดหัวคิดอะไรไม่ออก หน้าโทรมตาโหล ป่วยอีก 

***ทำยังไงให้ไม่ง่วงตอนอ่านหนังสือ ก็นอนให้พอไง ต่อไปถ้าอ่านหนังสือแล้วง่วงให้บอกตัวเองว่า ชั้นนอนมา 8 ชม แล้ว ชั้นไม่ได้เป็นโรคอะไร ชั้นไม่มีเหตุผลต้องง่วง อาการเนี้ยมันเป็นเพราะใจเสาะ เพราะขี้เกียจ ฉะนั้น ตื่น!***

ออกกำลังคลายเครียด กินอาหารดีๆ

พี่เคยเป็นคนขี้โรคมาก่อน ป่วยทุก 2 อาทิตย์ ปวดหัว ตัวร้อนประจำ เคยสอบไปน้ำตาไหลไปเพราะปวดหัวมาก มีช่วงนึงอาการหนัก ปวดหัว เดินเซ โลกหมุน หน้ามืดบ่อยมาก เอาละไง จากซีรีย์แล้วชั้นต้องเป็นโรคอะไรร้ายแรงแน่ อาจจะเนื้องอก... 555 สุดท้ายไปหาหมอ หมอบอกไม่มีไร แค่เครียด แค่เครียดนี่ร่างกายรวนขนาดนี้เลย สิ่งที่แก้เครียดที่ดีที่สุดคือออกกำลังไง มันหายเครียดจริงๆนะยู พี่เริ่มออกกำลัง กินอาหารดีๆ 7 เดือนที่กินมังสวิรัติ ป่วย 1 ครั้งถ้วน มันดีมากเลยที่ไม่ต้องไปโรงเรียนทั้งๆที่ปวดหัว หรือนอนอยู่บ้านแล้วกังวลว่าเรียนไม่ทัน


สมาธิ
การมีสมาธิสำคัญมาก ถ้าไม่มีสมาธิทำอะไรก็ไม่เต็มที่ เคยมั๊ยอ่านหน้าเดิมซ้ำไปซ้ำมาก็ไม่เข้าใจ ตั้งสติดีๆเลิกคิดเรื่องอื่นแล้วโฟกัส เวลาเรียนก็เหมือนกัน เรื่องอื่นพักไว้ก่อน อย่าเพิ่งดูมือถือ ปิดไลน์ ปิดเฟซไป
**ถ้าทำได้ แนะนำให้หาเวลาไปฝึกสมาธิที่วัดเลย พี่ชอบไปวัดร่ำเปิง เค้ามีคอร์ส 3 วัน ออกมาจิตใจปลอดโปร่ง ได้คิดอะไรเยอะ

9.ไม่เข้าใจอะไรต้องเคลียร์ทันที
ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนต้องถาม ถามครู ถามเพื่อน ดูหนังสือเล่มอื่นทันที ไม่ใช่เก็บ ถ้ามัวแต่เรื่องนี้ไม่รู้เรื่อง เรื่องนั้นก็ไม่เข้าใจ ทุกๆวิชากองสุมกัน แล้วหวังว่าจะมาเข้าใจ 5 นาทีก่อนเข้าห้องสอบนะ ไม่ได้หรอก เพราะทุกวันเราก็ต้องเรียนเรื่องอื่นเพิ่มอีก อ.อุ๊ ที่สอนเคมีบอกว่ามันเหมือนการสร้างบ้าน ถ้าฐานไม่แข็งแรง ยังไงวันนึงบ้านก็พัง

10. เรียนพิเศษ
ไม่ได้สนับสนุนให้รีดไถพ่อแม่ไปเรียน พี่ยังคิดว่าที่ได้ดีที่สุดก็คือการอ่านเอง แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็ไปเรียนพิเศษเลย ถ้าไปเรียนพิเศษต้องอ่าน ต้องทวนสิ่งที่เรียน ต้องทำการบ้านจากที่เรียนพิเศษ ด้วย เวลาเรียนก็ตั้งใจ อย่าโดด อย่าไปสาย อย่ามัวแต่เมาท์ ที่สำคัญคืออย่าเรียนเยอะเกินไป เพื่อนบางคนเรียนเลิก2-3ทุ่มทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ กลับบ้านมาก็เหนื่อยเบลอทำอะไรต่อไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี พี่เองเรียนพิเศษอาทิตย์ละ 3-4 วัน

11.ก่อนสอบต้องเป๊ะ
การอ่านหนังสือสอบไม่ได้เริ่มคืนก่อนสอบ การอ่านหนังสือต้องเริ่มก่อนสอบเป็นอาทิตย์ๆ ก่อนสอบขั้นแรกต้องอ่านทั้งหมดที่ครูสอน สองต้องทำทุกแบบฝึกหัดที่ครูให้ได้ทั้งหมด สามต้องหาแบบฝึกหัดเพิ่มเติมมาทำ ถ้าอ่านหนังสือมาตลอดก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย คืนก่อนสอบแค่อ่านทวนครั้งสุดท้ายแล้วนอนเร็วๆ

12.คำนวณคะแนนให้ดี ดูว่าวิชาไหนต้องทุ่ม วิชาไหนปล่อยๆได้
โอเคคือมันจะมีคะแนนกลางภาคใช่ป่ะ ในเมื่อเป้าหมายคือ 4 (ต้องได้ 80/100) กลางภาค 50 คะแนนก็แปลว่าต้องได้อย่างน้อย 40 คะแนน ถ้าสมมุติวิชาไหนได้ 45 ก็โล่งไป ผ่อนคลายได้หน่อย (แต่ไม่ได้หมายความว่าทิ้ง) ครึ่งหลังทำแค่ 35/50 ก็ได้ 4 แล้ว แต่ถ้าวิชาไหนได้ 35/50 ก็แปลว่าครึ่งหลังต้องสุดตัว อย่างน้อยต้องได้ 45/50 คือ 90 เปอร์เซ็น ข้อสอบ 10 ข้อผิดได้ข้อเดียว เพราะฉะนั้นวิชานี้ ต้องแม่น ต้องเป๊ะ

14.อย่าโกงข้อสอบ
การโกงข้อสอบ มันผิด ผิดเหมือนโกงเงิน ขโมย ปล้นนั่นแหละ บางคนทำเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ช่วยอะไรเลย รอดได้เป็นครั้งๆไปแล้วยังไง ไม่ได้อะไรอยู่ดี ทุกคนโทษการศึกษาไทยว่ากดดันให้เด็กลอกข้อสอบ พี่เห็นด้วยว่าการศึกษาไทยมีข้อบกพร่องอยู่ แต่การลอกเป็นข้ออ้างหรือเปล่า ถ้าเด็กเอาความกดดันมาเป็นแรงผลักดันในการเรียนคงจะดีกว่า อย่าดูถูกตัวเองโดยการลอกข้อสอบ ทุ่มเท แล้วเป็นคนนั้นที่ไม่มีใครให้ลอก เพราะไม่มีใครทำได้ดีกว่าแล้ว 

สุดท้ายพี่หวังว่าน้องจะมีความสุขกับการเรียน และมีความสุขกับเกรดสวยๆนะคะ กอด  
พี่ป๊อป
ติดตามบล็อกต่อไปได้ที่ https://www.facebook.com/Tanrinh









วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำวีซ่าอิตาลี(วีซ่าเชงเก้น)เอง ไม่ยาก...ขนาดนั้น





ติโอลา เมืองเล็กๆที่ป๊อปอยู่ค่ะ
ตอนม.4ป๊อปไปแลกเปลี่ยนอยู่โบโลญญา,อิตาลี 1 ปีค่ะ หลังจากกลับมาก็ติดต่อโฮสต์ กับเพื่อนตลอดด้วยความคิดถึงมาก ปีก่อนพอดูเงินเก็บของตัวเองก็คิดว่า เรากลับไปก็ได้นี่ เลยบอกพ่อกับแม่ว่าจบม.6 ป๊อปไปอิตาลีนะ จะจ่ายค่าตั๋วเอง พ่อกับแม่บอกอยากไปด้วย ก็เลยไปกัน 3 คน พ่อแม่ลูก พ่อกับแม่จะอยู่เที่ยว 10 กว่าวันแล้วกลับก่อน แต่ก่อนจะได้ไปเรื่องใหญ่คือ ทำวีซ่าค่ะ 

ทำวีซ่าเองฟังดูยุ่งยากมาก ถามใครที่เคยทำก็ลำบากเพราะส่วนใหญ่เค้าก็จ้างบริษัทกัน ตอนแรกเราก็จะให้เค้าทำ แต่ไปถามราคาแล้วตก 3-5 พันบาท ต่อคนแล้วแต่เอกสาร ป๊อปเลยทำเอง ประหยัดเงินไปเป็นหมื่นเลย ถามว่ายุ่งมั๊ย ยุ่งค่ะ แต่ป๊อปคิดว่าเป็นเพราะป๊อปไม่เคยทำมาก่อน ก็หวังว่าบล็อกนี้จะช่วยคนที่คิดว่าจะทำวีซ่าเองได้บ้างนะคะ
 

ก่อนอื่นเลย  ดูลิสต์เอกสารที่ต้องยื่นจากศูนย์รับคำร้องวีซ่าประเทศอิตาลีได้ที่
http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/tourist.html (เลือก เอกสารประกอบการพิจารณา

**เอกสารทุกอย่างต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ไม่อยากให้บล็อกนี้ยาวเกินไป ป๊อปจะขอพูดถึงเรื่องการแปลเอกสารทำวีซ่าอย่างละเอียด สำหรับคนที่จะแปลเอกสารเองเหมือนป๊อปคราวหน้านะคะ

สรุปเอกสารที่ต้องใช้ยื่น

1.ใบคำร้องขอวีซ่าเชงเก้นติดรูปถ่าย (แบบฟอร์มใบสมัคร)
 ดาวน์โหลดได้จาก http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/tourist.html เลือก แบบฟอร์มใบสมัคร
ในช่องจำนวนครั้ง
ครั้งเดียว หมายถึง เข้าเชงเก้นครั้งเดียว เช่นบินจากไทยเข้าประเทสเชงเก้น เดินทางอยู่ในประเทศเชงเก้นไม่ว่าจะกี่ประเทศ บินกลับมาไทย แบบนี้คือครั้งเดียวค่ะ
2 ครั้ง เช่น เข้าอิตาลี(เชงเก้น) ออกไปอังกฤษ(ไม่ใช่ประเทศเชงเก้น) กลับเข้ามาฝรั่งเศส(เชงเก้น) กลับไทย แบบนี้คือ เข้า2 ครั้งค่ะ

2. สำเนาพาสปอร์ต 2 เล่มล่าสุด สำคัญนะคะเพราะเค้าต้องการดูประวัติการเดินทางของเรา (ป๊อปถ่ายพาสปอร์ตเก่าทุกเล่มที่เคยมีเลยค่ะ )

3.พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน นับจากวันที่ยื่น และอายุเหลืออย่างน้อย 90 วันหลังจากวีซ่าหมดอายุ

4.ใบจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
ตั๋วเครื่องบินนี้ป๊อปไม่ได้จองจริง(ไม่ได้จ่ายเงินซื้อตัวเลย)นะคะ เพราะว่ากลัวว่าวีซ่าจะไม่ผ่าน หรืออนุมัติไม่ทันวันบิน แล้วตั๋วเครื่องบินถูกๆที่จองจากเว็บ expedia.com (เว็บที่ป๊อปซื้อตั๋วเครื่องบินจริง) ก็ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนเลยเพื่อจอง และไม่คืนเงินให้ถ้ายกเลิกตั๋ว
**มีวิธีก็คือจองผ่านเอเจนต์ค่ะ ป๊อปจองผ่าน Oriental Shine Travel เว็บ http://www.flighttick.com ซึ่งพอจองปุ๊ปเค้าก็ส่งใบจองมาพร้อมรายละเอียดการบิน ชื่อผู้โดยสาร (อย่างที่สถาณทูตต้องการ) มาทันทีโดยทีเรายังไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วเค้าก็จะส่งเลขบัญชีมาให้โอนเงิน ถ้าเราไม่โอนไปเค้าก็จะยกเลิกการจองของเราไปเองค่ะ

5.จดหมายเชิญจากเพื่อนหรือครอบครัวในอิตาลี โหลดแบบฟอร์มจดหมายจาก http://www.esteri.it/visti/pdf/invito_t.pdf  คนที่เชิญจะต้องแนบบัตรประชาชนของเค้ามาด้วยนะคะ
**อันนี้เป็นอันที่ป๊อปโดนแก้ค่ะ เรื่องก็คือโฮสต์มัมป๊อปรีบส่งแบบฟอร์มมาทางไปรษณีย์เพราะเราเข้าใจว่าต้องใช้ของจริง(แต่ความจริงสแกนมาได้ค่ะ ให้คนเชิญเขียนด้วยลายมือแล้วสแกนส่งมาทางอีเมลล์ เราปรินท์ไปยื่นวีซ่าได้ค่ะ)
 โดยที่เค้าเขียนแค่ส่วนข้อมูลของเค้า แล้วให้ป๊อปเขียนพวกเลขพาสปอร์ต ชื่อที่อยู่ วันที่ที่อยู่เอง เพราะว่าตอนนั้นกำหนดการเรายังไม่แน่นอน ทีนี้พอป๊อปเขียนเอง ตัวหนังสือไม่เหมือนกัน เค้าบอกว่ามันเป็นการปลอมแปลงเอกสารค่ะ(โดนเจ้าหน้าที่คนอิตาลีเฉ่งเองเลย)ถึงแม้จะมีลายเซ็นของมัมก็ตาม ต้องให้คนเชิญเขียนด้วยลายมือตัวเองทั้งหมดแล้วเซ็นรับรองค่ะ 


6.ใบจองโรงแรมที่พักในทุกๆวันที่อยู่ที่นั่น ต้องมีชื่อของทุกคนที่จะเข้าพักค่ะ ไม่ใช่แค่ชื่อของคนจอง

ป๊อปไม่มีใบจองเพราะว่าเรานอนที่บ้านโฮสต์มัมค่ะ มีคืนนึงที่เราจะนอนโรงแรมแต่ป๊อปก็ไม่ได้จองเพราะกลัววีซ่าไม่ผ่าน ในจดหมายเชิญป๊อปเลยใส่ว่าพักกับโฮสต์มัมทุกวัน 

7.กำหนดการเที่ยว บอกวัน และเมืองที่อยู่ในแต่ละวัน
ข้างล่างที่คือตัวอย่างของป๊อปเองค่ะ ป๊อปบอกรายละเอียดการเดินทาง ที่ๆจะไปเที่ยวในแต่ละเมือง และที่อยู่ด้วย เผื่อไว้น่ะค่ะ อยากให้เค้าเห็นว่าจะไปเที่ยวจริงๆนะ วางแผนแต่ละที่มาแล้ว 



8.สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate ภาษาอังกฤษ (ขอได้จากธนาคาร) ออกภายใน 15 วันก่อนยื่นวีซ่า คือเค้าต้องการจะดูว่าเรามีเงินมากพอที่จะเที่ยวได้ เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้จะหลบไปทำงานน่ะค่ะ

***เรื่องเงินเค้ามีกำหนดเงินขั้นต่ำไว้ดังนี้คือ
ระยะเวลาในการพำนัก
จำนวนผู้เดินทาง 1 คน
จำนวนผู้เดินทางตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
1-5 วัน
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 269.90 ยูโร
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 212.81 ยูโร
6-10 วัน
จำนวนเงินต่อคนต่อวัน
44.93 ยูโร
จำนวนเงินต่อคนต่อวัน
26.33 ยูโร
11-20 วัน
บวกกับจำนวนเงินต่อคนต่อวัน
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 51.64 ยูโร
+ 36.67 ยูโร
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 25.82 ยูโร
+22.21 ยูโร
มากกว่า 20 วัน
บวกกับจำนวนเงินต่อคนต่อวัน
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 206.58 ยูโร
+ 27.89 ยูโร
จำนวนเงินคงที่ขั้นต่ำ 118.79 ยูโร
+ 17.04 ยูโร

เท่าที่ป๊อปเข้าใจก็คือ
พ่อกับแม่ยื่นวีซ่า 12 วันแปลว่าพ่อกับแม่แต่ละคนต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย
25.82+22.21*12 = 292.34 ยูโร คือ ประมาณ 1 หมื่น บาท
ป๊อปยื่น 80 วัน
206.58+27.89*80=2437.78 ยูโร ประมาณ 8 หมื่น 5 พัน บาท

เจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์บอกว่าให้คิดง่ายๆว่าอาทิตย์ละ 250 ยูโร หรือ 9 พันบาท
พ่อกับแม่ 2 อาทิตย์ก็ 18000
ป๊อป 9 หมื่น
แต่หลังจากอ่านกระทู้พันทิปกันมาเยอะ แม่เลยบอกว่า เอาให้ชัวร์คือมีเงินหลักแสน เราก็เลยเอาเงินเข้าแบงค์ไว้ก่อนค่ะ
ช่วง 1-2 เดือนก่อนยื่นวีซ่า หรือนานกว่านั้นก็ดี ทยอยเอาเงินใส่ทีละ 2-3 หมื่น ถอนออกบ้างตามปกติ แล้วเก็บเงินไว้จนกว่าวีซ่าผ่าน ได้วีซ่าอยู่ในมือนั้นแหละค่ะ ก็สุดท้ายสรุปว่าบัญชีของพ่อกับแม่ มีคนละประมาณ 1 แสน ของป๊อปไม่ได้ใส่เงินเพิ่ม มีเงินเก็บตัวเอง ประมาณ 3 หมื่น

 9.จดหมายรับรองการทำงานภาษาอังกฤษ จากบริษัทที่ทำ มีตรา ที่อยู่ เบอร์ fax ของบริษัท ระบุตำแหน่ง เงินเดือนที่ได้รับ ปีที่เริ่มทำงาน ระบุวันลา ว่าจะไปพักร้อนที่ประเทศอิตาลีตั้งแต่วันนี้ ถึงวันนี้ เซ็นรับรองโดยหัวหน้าคนที่รับผิดชอบ ระบุชื่อ ตำแหน่งของหัวหน้าด้วยค่ะ
**สำหรับข้าราชการ ไม่ต้องใช้ใบลาไปต่างประเทศที่ต้องให้ปลัดกระทรวงอนุมัติก็ได้ค่ะ เพราะอันนั้นต้องรออนุมัตินาน ป๊อปพิมจดหมายลา จดหมายรับรองการทำงานของพ่อเองเลย แล้วให้หัวหน้าของพ่อเซ็น แค่นี้ใช้ได้แล้วค่ะ
ข้างล่างนี่คือตัวอย่างใบลาของพ่อที่ป๊อปพิมค่ะ


**เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ใช้ใบจดทะเบียนพาณิชย์ค่ะ แปลเป็นภาษาอังกฤษ

นักเรียนต้องมีใบลาจากโรงเรียนภาษาอังกฤษค่ะ มีตรา ที่อยู่ เบอร์ fax ของโรงเรียน ระบุวันลา ว่าจะไปตั้งแต่วันนี้ ถึงวันนี้ เซ็นรับรองโดยคนที่รับผิดชอบ ระบุชื่อ ตำแหน่งของคนเซ็นด้วยค่ะ 

ของป๊อปจบม.6 พอดี ช่วงที่ไปคือช่วงปิดเทอมแล้วเลยไม่มีใบลา วิธีคือต้องไปขอใบจบมาจากโรงเรียนค่ะ แล้วก็เขียนจดหมายชี้แจงภาษาอังกฤษว่าไม่มีใบลาเพราะเรียนจบแล้ว กำลังจะเรียนต่อที่มหาลัยนี้ ในวันที่นี้
 
** เรื่องที่ป๊อปกังวลที่สุดคือ ป๊อปขอวีซ่าไป 80 วันซึ่งนานมาก กลัวจะไม่ได้ ก็เลยเขียนชี้แจงไปอีกอย่างว่าที่ไปเพื่อไปเที่ยวและเยี่ยมเพื่อนและครอบครัวชาวอิตาลีที่รู้จักกันตอนไปแลกเปลี่ยนค่ะ

ตัวอย่างจดหมายชี้แจงของป๊อปค่ะ

10.เพิ่มเติมสำหรับคนที่เป็นนักเรียนจะต้องแนบ
หลักฐาน จดหมายรับรองการทำงานของทั้งพ่อและแม่ภาษาอังกฤษ
สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate ของพ่อ แม่
ใบเกิด หรือทะเบียนบ้านแปลเป็นภาษาอังกฤษ

11.สำหรับคนที่ฐานะทางการเงินไม่มั่นคง คือมีเงินไม่มาก ไปเที่ยวครั้งนี้มีคนอื่นออกให้
ต้องมีหลักฐานต่อไปนี้ค่ะ
สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate ของพ่อ ,แม่ ,พี่น้อง หรือลูก (เท่านั้น)
จดหมายชี้แจงการเป็นสปอนเซอร์ ชี้แจงความสัมพันธ์กัน พร้อมหลักฐานแสดงความสัมพันธ์กันคือใบเกิด หรือทะเบียนบ้าน(ป๊อปยื่นทั้งสองอย่างเลยค่ะ)
นี่คือตัวอย่างของป๊อปค่ะ


ป๊อปให้ทั้งพ่อ และแม่เป็นสปอนเซอร์ทั้ง 2 คนเลย มีจดหมายสปอนเซอร์ 2 ฉบับแล้วก็แนบสมุดเงินฝากกับ bank certificate ของทั้ง 2 คน

12.ถ้าเป็นผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 18 ปี)

*ผู้เยาว์ของไทยคือต่ำกว่า 20 ปี แต่ของอิตาลีผู้เยาว์คือต่ำกว่า 18 ปีค่ะ

ผู้เยาว์ที่เดินทางกับพ่อหรือแม่คนใดคนนึงคนเดียว ต้องมีใบยินยอมจากพ่อหรือแม่ที่ไม่ได้ไปด้วย
หรือถ้าผู้เยาว์เดินทางคนเดียว ต้องมีใบยินยอมจากทั้งพ่อและแม่ จดหมายชี้แจง แบะหลักฐานการเดินทางของคนที่จะเดินทางกับผู้เยาว์ค่ะ

**พ่อกับแม่ไปพร้อมป๊อปแต่กลับไม่พร้อมกัน ป๊อปกลับทีหลัง แบบนี้ถือว่าป๊อปเดินทางคนเดียวค่ะ ถ้าป๊อปเป็นผู้เยาว์จะต้องมีเอกสารอย่างที่ว่าไป ดีที่ป๊อปอายุ 19 ตามกฎหมายอิตาลีถือว่าไม่ใช่ผู้เยาว์แล้ว

13.สำเนาประกันการเดินทางต่างประเทศ ครอบคลุมวันที่เดินทาง คุ้มครองอย่างน้อย 30000 ยูโร จากบริษัทประกันที่เค้ารับรองเท่านั้น ดูรายชื่อบริษัทที่ http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/pdf/List_travel_insurance2_130613.pdf  
ของ เรา 3 คนทำกับ allianz cp คุ้มครองคนละ 3 ล้านบาทค่ะ ค่าทำ ของพ่อกับแม่ ประมาณ 900 บาท ของป๊อป 4000 บาทค่ะ

14.ทะเบียนบ้านตัวจริง สำเนา และแปลเป็นภาษาอังกฤษ

15.ถ้าเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลต้องมีใบเปลี่ยนชื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเปลี่ยนนามสกุลเพราะการหย่าต้องมีใบหย่าแปลเป็นภาษาอังกฤษและจดหมายชี้แจงภาษาอังกฤษมาด้วยค่ะ

16.สำเนาพาสปอร์ตปัจจุบัน 2 ชุด


สรุปเอกสารของเราแต่ละคนค่ะ 

1.   ป๊อป นร.เพิ่งจบม.ปลาย ยื่นวีซ่า 80 วัน (วีซ่าท่องเที่ยวอยู่ได้สูงสุด 90 วันค่ะ )

 1.ใบคำร้องขอวีซ่าเชงเก้น ช่องที่อยู่โรงเรียน เนื่องจากป๊อปจบม.6แล้วกำลังจะเรียนปีหนึ่ง ป๊อปเลยเขียนที่อยู่ทั้งของรร.และมหาลัยค่ะ
2. สำเนาพาสปอร์ต 2 เล่มล่าสุด
3.พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน นับจากวันที่ยื่น และอายุเหลืออย่างน้อย 90 วันหลังจากวีซ่าหมดอายุ
4.ใบจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
5.จดหมายเชิญจากเพื่อนหรือครอบครัวในอิตาลี
7.กำหนดการเที่ยว บอกวัน และเมืองที่อยู่ในแต่ละวัน
8.สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate
9.ใบจบมาจากโรงเรียน
10.เขียนจดหมายชี้แจง
11.จดหมายรับรองการทำงานของทั้งพ่อและแม่
12.สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate ของพ่อ แม่
13.ใบเกิด และทะเบียนบ้าน
14.จดหมายชี้แจงการสนับสนุนทางด้านการเงินให้ ชี้แจงความสัมพันธ์กัน
15.สำเนาประกัน
16.ทะเบียนบ้านตัวจริงและสำเนา
17.สำเนาพาสปอร์ตปัจจุบัน 2 ชุด


2.       พ่อ ข้าราชการ ยื่นวีซ่า 15 วัน


1.ใบคำร้องขอวีซ่าเชงเก้น
2. สำเนาพาสปอร์ต 2 เล่มล่าสุดมา
3.พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน นับจากวันที่ยื่น และอายุเหลืออย่างน้อย 90 วันหลังจากวีซ่าหมดอายุ
4.ใบจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
5.จดหมายเชิญจากเพื่อนหรือครอบครัวในอิตาลี
7.กำหนดการเที่ยว บอกวัน และเมืองที่อยู่ในแต่ละวัน
8.สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate
9.ใบรับรองการทำงาน
10.จดหมายอนุมัติลางาน
11.สำเนาประกัน
12.ทะเบียนบ้านตัวจริงและสำเนา
13.สำเนาพาสปอร์ตปัจจุบัน 2 ชุด

3.       แม่ ทำธุรกิจส่วนตัว ยื่นวีซ่า 15 วัน
1.ใบคำร้องขอวีซ่าเชงเก้น
2. สำเนาพาสปอร์ต 2 เล่มล่าสุดมา
3.พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน นับจากวันที่ยื่น และอายุเหลืออย่างน้อย 90 วันหลังจากวีซ่าหมดอายุ
4.ใบจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ
5.จดหมายเชิญจากเพื่อนหรือครอบครัวในอิตาลี
7.กำหนดการเที่ยว บอกวัน และเมืองที่อยู่ในแต่ละวัน
8.สำเนาสมุดเงินฝาก ย้อนหลัง 3 เดือน กับ Bank Certificate
9.ใบจดทะเบียนพาณิชย์
10.สำเนาประกัน
11. ทะเบียนบ้านตัวจริงและสำเนา
12.สำเนาพาสปอร์ตปัจจุบัน 2 ชุด


เอกสารทั้งหมดนี้ต้องนำไปยื่นด้วยตัวเองที่ศูนย์รับคำร้องวีซ่าประเทศอิตาลีค่ะ 
 

 เดี๋ยวนี้ไม่มีนัดเวลาก่อน เค้าให้เดินเข้าไปเลยค่ะ ศูนย์เปิด 8.30 แต่แนะนำให้ไปตั้งแต่ 6.00 ไปรับบัตรคิวก่อนค่ะเพราะคนเยอะมาก... วันแรกป๊อปไป 8.30 ได้คิวคนที่ ร้อยกว่าๆ รอ 5 ชม.ถึงบ่าย 3 ค่ะถึงได้ยื่นเอกสาร ยื่นเสร็จโดนแก้ อีกวันไปใหม่ 6.00 น. ได้คิวที่ 11 ทำวีซ่าเสร็จตอน 9.30 น ค่ะ  


ตอนแรกเค้าจะให้ไปยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่เช็คค่ะ ถ้าเอกสารทุกอย่างผ่าน เค้าก็จะให้สแกนนิ้วแล้วก็เสร็จเลยค่ะ
(วันนี้ยังไม่มีสัมภาษณ์นะคะ ถ้าจะสัมภาษณ์สถาณทูตจะนัดเราไปวันหลัง หรือโทรมาสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ค่ะ)


ถ้าได้วีซ่าแล้วเราเลือกได้ว่าจะมาเอาเอง หรือให้เค้าส่งไปรษณีย์ มีค่าใช้จ่าย 200 บาท ต่อคนค่ะ


ถ้าจ่ายเพิ่มอีก 60 บาทเค้าจะคอยส่ง sms รายงานสถาณะวีซ่าค่ะ


ป๊อปยื่นเช้าวันพฤหัสที่ 12 มีนา เย็นวันที่ 12 เค้าส่งมาว่า ส่งใบสมัครของเราไปสถาณทูตแล้ว


วันจันทร์ที่ 16 ตอนเย็นเค้าส่งข้อความมาว่าส่งวีซ่ามาให้เราแล้ว  
“Processed visa application ref no……… couriered to you via courier company on …..” แบบนี้แปลว่าวีซ่าผ่านแล้วค่ะ


วันอังคาร ที่ 17 วีซ่ามาถึงบ้านทั้ง 3 คนเลยค่ะ สรุปว่าเราได้วีซ่าภายใน 5 วัน  
** ถ้าอยากได้ Tracking number ไปรษณีย์โทรไปถามศูนย์ได้ค่ะ


**ถ้าอยากคุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ให้โทรไปเบอร์ 02 118 7001 เลือก ทำการนัดหมายเวลาทำวีซ่า เค้าจะต่อสายไปให้เจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าไม่รับนัดหมายแล้ว ตอนนั้นอยากถามอะไรถามได้เลยค่ะ

อย่าลืมดูรายละเอียดเกี่ยวกับวีซ่าอิตาลีเพิ่มเติม ที่ เว็บของศูนย์รับคำร้องวีซ่าค่ะ http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/tourist.html
 

ป๊อปยื่นวีซ่า วันที่ 12 มีนา 2558 นะคะ (เผื่ออีกหลายๆปีมีคนมาอ่าน อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง)


ขอขอบคุณ เจ้าหน้าศูนย์รับคำร้องตู้เบอร์ 3 คุณ Sirilak, ผู้เขียนกระทู้เกี่ยวกับเรื่องทำวีซ่าและเรื่องแปลเอกสารลงพันทิป,ladyinter และบล็อกส่วนตัวทุกท่าน พี่โจม พี่ฟ้า และเพื่อนๆของพ่อที่ให้คำแนะนำค่ะ


ถ้าบล็อกนี้ช่วยอะไรได้บ้าง ช่วยคอมเมนท์ให้กำลังใจคนเขียนหน่อยนะคะ ขอบคุณค่า 

ถ้าทำวีซ่าปวดหัว ขอให้คิดถึงโคลอสเซียม เวนิซ หอเอน พิซซ่า เจลาโต้อร่อยๆไว้นะคะ


 ขอให้วีซ่าผ่านกันทุกคนนะคะ เที่ยวให้สนุกค่ะ 

ติดตามบล็อกต่อไปได้ที่ https://www.facebook.com/Tanrinh




งานคาร์นิวัลที่เวนิซปี 2012