นี่คือเรื่องเล่าที่คนคนนึงจะนั่งลง โชว์รูป และเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนสนิทด้วย
เรา เด็กผู้หญิงอายุ 19 ตัวคนเดียว ที่เพิ่งจบม.ปลาย กลับมาอยู่เมืองโบโลญญา ประเทศอิตาลี ที่ๆเคยมาแลกเปลี่ยนเมื่อ 3 ปีก่อนอีกครั้ง ก่อนจะมาเราคิดว่าอยากไปที่อื่นในยุโรปด้วย เราเลยโพสต์ในกรุ๊ปที่ใหญ่มากของ AFS ที่มีเด็กเอเอฟเอสทั่วโลก หาเพื่อนเที่ยวด้วย
แล้วเพื่อนที่เราค่อนข้างสนิทด้วย(แต่ไม่ได้คุยกันนานแล้ว)คนออสเตรีย ที่เจอกันตอนมาแลกเปลี่ยนในอิตาลี ชื่อเจนนิเฟอร์(เจนนี่)ก็เม้นมาว่า ถ้ามาเวียนนา ออสเตรีย ชั้นจะพาเธอไปดูทุกอย่างเลย
"เธออยู่เวียนนาเหรอ ไม่รู้มาก่อนเลย"
"ใช่ๆอยู่ในเมืองเลย มาๆมานอนบ้านชั้นนี่ จากโบโลญญามีรถไฟมาถึงเวียนนาเลย"
พอเราส่องเว็บ www.oebb.at เว็บการรถไฟออสเตรียจนเชี่ยวชาญก็รู้ว่าจากเวียนนาไปบูดาเปสต์ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชม แถมตั๋วเริ่มที่ 19 ยูโรซึ่งก็ไม่ได้แพงมาก เราเลยส่งข้อความหาบาร์บาร่า(บาร์บี้)เพื่อนคนฮังการีที่เจอกันตอนแลกเปลี่ยนเหมือนกันว่าพาเราเที่ยวได้มั๊ย
กว่าจะหาวันที่โอเคสำหรับเรา เจนนี่และบาร์บี้ได้
สุดท้ายเราก็มายืนที่ชานชาลาพร้อมเป้หนึ่งใบ กระเป๋าถือและตั๋วรถไฟราคา 59 ยูโร
นี่คือแผนเรา วันที่ 4 มิถุนา ออกจากโบโลญญา 5 ทุ่มกว่า
ถึงเวียนนาวันที่ 5 8 โมงเช้า นั่งรถไฟต่อไปบูดาเปสต์ทันที (เพราะบาร์บี้ว่างแค่วันที่ 5-6)
ถึงบูดาเปสต์ตอนเที่ยง เที่ยวๆ นอนบ้านบาร์บี้
วันที่ 6 นั่งรถไฟจากบูดาเปสต์ตอน 4 โมง ถึงเวียนนาทุ่มกว่า (ต้องรีบมาเวียนนาเพราะวันที่ 6 เจนนี่จัดปาร์ตี้วันเกิด)
วันที่ 7-11 อยูบ้านเจนนี่ในเวียนนา
วันที่ 10 ไป Salzburg
วันที่11 1 ทุ่ม นั่งรถไฟกลับโบโลญญาถึงตอนตี 4
ใจเราเต้นตึกๆ เรากำลังจะขึ้นรถไฟคนเดียวไปต่างประเทศ ก็ใช่ ตอนนี้ก็อยู่ต่างประเทศ แต่อิตาลีเราคุ้นยิ่งกว่ากรุงเทพซะอีก
เราง่วงมาก แต่ไม่กล้าหลับสนิทเพราะกลัวของหาย ในตู้รถไฟที่เรานั่ง มี 6 ที่นั่ง แต่มีแค่คุณป้าคนอิตาลีคนเดียว ป้าใจดีมาก เห็นเราทำหน้าโง่ๆ เลยสอนวิธีกางที่นั่งในรถไฟออกมาเป็นเตียงให้ ในรถไฟมีตู้นอนแบบเป็นเตียงด้วยแต่มันแพงกว่ามาก เราเลยซื้อตั๋วนั่ง เพิ่งรู้ว่าที่นั่ง 2 ตัวกางออกมาชนกันเป็นเตียงได้ เก๋อยู่นะ
ตี 5 เราตื่นแบบสลึมสลือ เพราะแดดออกแล้ว ตอนนี้เป็นหน้าร้อน พระอาทิตย์ขึ้นตอน ตี 4 กว่า ตก 3 ทุ่มกว่า พอตื่นแล้วเราไม่กล้าหลับอีกเลย ก็อด! วิวสวยมาก รถไฟเร็วบวกกล้องเก่าๆผลที่ได้คือรูปเบลอๆ แต่ภาพที่เราเห็นคือ รถไฟผ่านป่าครึ้ม เหมือนในหนังเรื่องทไวไลท์ มองไปทางซ้ายเห็นแม่น้ำใสๆไหลช้าๆ มีหมอกลอยเหนือน้ำ ทางขวามีบ้านไม้หลังเล็กอยู่ประปราย วัวอ้วนๆสีน้ำตาลหลายตัวยืนอยู่บนหญ้าสีเขียวสด ปุยเมฆลอยต่ำจนเรารู้สึกว่าถ้าเปิดหน้าต่างแล้วเอื้อมมืออกไปคงคว้ามันได้
รถไฟถึงเวียนนาเลทไป 40 นาที หึ... ดาวว่าแล้ว! (ดาวเป็นคำแทนตัวเอง เหมือน คุณหลอกดาว) อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจรถไฟอิตาลี! คนอิตาลีไม่เคยตรงเวลา! ดีนะเราไม่จองตั๋วไปบูดาเปสต์ตอน 9 โมงที่ถูกกว่าเวลาอื่นครึ่งนึง ไม่งั้นคงตกรถไฟ เราพยายามถามทางหาที่ซื้อตั๋ว ความประทับใจแรก... คนออสเตรียพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แม้กระทั่งคนขายเคบับที่บอกทางเรา
จ่ายไป 36.6 ยูโร จาก `wien meidling ไป Budapest keleti ตั๋วเป็นแบบไม่จองที่นั่ง คือนั่งตรงไหนก็ได้ในที่ว่าง ถ้าจะจองให้ชัวร์ว่ามีที่นั่งต้องจ่ายเพิ่ม แต่ในรถไฟขบวนนั้นมีที่นั่งเหลือเฟือ
รถไฟ Railjet มีไวไฟฟรีถึงเขตออสเตรีย เกือบ 3 ชมผ่านไป รถไฟข้ามผ่านเหนือแม่น้ำดานูปแล้วก็พาเรามาถึงบูดาเปสต์ เราเพิ่งเห็นว่าแม่น้ำดานูปกว้างขนาดนี้ เคยแต่เรียนในวิชาภูมิศาสตร์ วันนี้ได้เห็นจริงๆแล้วนะ เราสะพายเป้เดินลงรถไฟ
เดินออกจากสถานี เราก็ตกหลุมรักบูดาเปสต์ทันที โอ้ย แค่นี้ก็สวยแล้ว
สถานีรถไฟ Keleti |
"บาร์บี้ชั้นอยู่หน้าอนุสาวรีย์"
"อนุสาวรีย์อะไร"
"ชั้นไม่รู้อ่านไม่ออกนี่ "
"ชั้นอยู่หลังรถบัส"
"รถบัสไหน"
"ชั้นเห็นเธอแล้ว ขึ้นรถเร็ว"
เรารีบกระโดดขึ้นรถจี๊บของบาร์บี้ รถข้างหลังบีบแตรกันใหญ่ โอ้ยย ใจเย็นๆ!
เราสองคนถอนหายใจ หัวเราะ แล้วกอดกัน
"โอเค เริ่มเลยนะ คือชั้นเขียนโปรแกรมมาแล้วว่าอยากพาเธอไปไหนบ้าง มันมีที่เที่ยวเยอะมาก เพราะงั้นเราต้องไฟท์" บาร์บี้เป็นไกด์ที่จริงจังมาก...
คืนนี้เราจะนอนอพาร์ตเมนท์ใจกลางเมืองของพี่ชายบาร์บี้ที่จะไม่อยู่บ้านกัน เราเอาของไปเก็บแล้วก็เริ่มออกเดิน
จากบ้านเดินไปนิดเดียวก็ถึงสถานีเมโทร เราซื้อตั๋วแบบ 24 ชม. ที่ใช้ได้กับเมโทร บัสและแทรม ราคา 1650 HUF พอขึ้นจากสถานีมา บาร์บี้ก็พาเราเดินผ่านเมือง ผ่านสวนสาธารณะ ที่มีชิงช้าสวรรค์อยู่ แล้วเราก็เห็นคนใส่ชุดประจำชาติด้วย
แดดร้อนเปรี้ยงเหมือนกลัวเราคิดถึงประเทศไทย เราเดินข้ามสะพานจากฝั่งเปสต์ ไปบูดา
ตัวเมืองและที่เที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในฝั่งเปสต์ที่เป็นที่ราบ ส่วนฝั่งบูดาที่เป็นภูเขาก็มีที่อยู่อาศัยและปราสาทกับโบสถ์สำคัญ
ฝั่งบูดา |
ภูเขาฝั่งบูดา เต็มไปด้วยบ้านเรือน |
บนเนินเขา เหมือนเป็นเมืองเล็กๆ มากกว่าจะเป็นแค่บริเวณรอบประสาท มีร้านอาหาร ไปรษณีย์ และโรงแรม
นี่คือ Màtyàs-templom หรือ โบสถ์ Matthias โบสถ์ยุคกลางที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของฮังการีอายุกว่าพันปี เอกลักษณ์คือหลังคากระเบื้องที่เรียงสวยงาม
อยู่อิตาลีเห็นโบสถ์มาเป็นพันๆ ไม่เคยเห็นโบสถ์ไหนมีหลังคาแบบนี้เลย เราสนใจกับความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมในยุโรปมาก
ป้อมปราการ Halàszbàstya (The fisherman's Bastion ) และรูปปั้นของ สเตฟานที่ 1
บนระเบียงของป้อมปราการมองเห็นฝั่งเปสต์ทั้งหมด
"ไม่เป็นไร ชั้นอ่านหนังสือมาแล้ว" เราโชว์หนังสือ 'ยุโรป เส้นทางสายโรแมนติค' ของคุณ travelkanumanให้ดู
"โอเค งั้นเธอเล่าให้ชั้นฟังแล้วกัน"
( 'ยุโรป เส้นทางสายโรแมนติค' หนังสือเล่มเดียวที่เราหาได้ที่มีเรื่องฮังการีและออสเตรีย ภาพสวยมากๆ ยังกับภาพวาด แค่ซื้อมาดูรูปก็คุ้มแล้ว เขียนเรื่องข้อมูลสถาณที่ท่องเที่ยวและประวัติความเป็นมาอย่างย่อๆได้ดี)
บริเวณ Budapest Toreneti Muzeum หรือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ |
อยู่ข้างบนนี้มองข้ามไปฝั่งเปสต์เห็นรัฐสภาทั้งหลัง
ปกติเราไม่เกี่ยงเรื่องเดิน แต่แดดเปรี้ยง กับอุณหภูมิเกือบ เกือบ 40 องศาทำให้เราสองคนยอมแพ้ คนที่ไม่เคยมายุโรปจะไม่เชื่อเลยว่ายุโรปร้อนขนาดนี้ได้ด้วย
เราลงจากเขากลับมาในตัวเมืองฝั่งเปสต์ เราบอกทางไม่ได้เพราะเดินตามบาร์บี้อย่างเดียว (ค่ะ ถ้านี่เป็นไกด์บุ๊ค จะเป็นไกด์บุ๊คที่แย่มาก 555) บาร์บี้พาเราขึ้นลิฟท์ไปที่ 360 Bar เป็นบาร์บนดาดฟ้าของตึกสูงที่เห็นวิวสวยๆของบูดาเปสต์ทั้งเมือง โอ้โห ได้อารมณ์กว่าดูวิวบนเขาอีก
คนเยอะมากจนเกือบหาที่นั่งไม่ได้ เราสองคนสั่งน้ำมะนาวใส่โซดาเย็นๆคนละแก้ว แต่สังเกตุเห็นบางโต๊ะก็ดื่มของแรงๆกันแล้ว
"เพิ่งบ่าย 2 เค้าดื่มกันแล้วเหรอ"
"ก็...ถ้าปาร์ตี้เริ่มตั้งแต่บ่าย เราก็ดื่มกันตั้งแต่บ่าย"
"โอเค... 555"
เรานั่งชมวิวคุยกัน(ท่ามกลางแดดเปรี้ยงเหมือนเดิม)อยู่นาน คุยกันถึงเรื่องตอนเราอยู่อิตาลี เหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนแก่ๆ 555 ตอนนี้บาร์บี้ทำงานพิเศษเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่สายการบินโลว์คอสแห่งนึง แล้วก็ปาร์ตี้เยอะมากๆพร้อมกับเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ในมหาลัย
เรานั่งชมวิวคุยกัน(ท่ามกลางแดดเปรี้ยงเหมือนเดิม)อยู่นาน คุยกันถึงเรื่องตอนเราอยู่อิตาลี เหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนแก่ๆ 555 ตอนนี้บาร์บี้ทำงานพิเศษเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ที่สายการบินโลว์คอสแห่งนึง แล้วก็ปาร์ตี้เยอะมากๆพร้อมกับเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ในมหาลัย
กินลมชมวิวเสร็จเราก็เดินเล่นต่อเล็กๆน้อยซื้อของกินง่ายๆในห้างสำหรับตอนเย็น
นอกจากเมโทรแล้ว เราก็ขึ้นรถรางกันเป็นส่วนใหญ่ ถึงรถรางจะส่งเสียงแปลกๆ (เมโทรก็มีเสียงแปลกๆ) แต่ก็พาเราชมวิวได้ทั่วบูดาเปสต์
เราสองคนนอนสุก และหมดแรงในอพาร์ตเมนท์พี่บาร์บี้ (เราจำชื่อไม่ได้เพราะออกเสียงยากมาก แต่จำได้ว่าตัวสูงมาก) รอพระอาทิตย์ตก ความจริงบาร์บี้มีแผนเยอะ เริ่มจากการไปเดินริมน้ำดานูปตอนกลางคืน ดูอนุสรณ์รองเท้าที่นักท่องเที่ยวชอบดูกัน และอื่นๆอีกมาก แต่กว่าเราสองคนจะลุกจากเตียงได้ก็ 3 ทุ่มกว่าแล้ว (พระอาทิตย์เพิ่งตกได้ไม่นาน) เราจึงตัดสินใจว่า...ข้ามไปตอนบาร์ ฮอปกันดีกว่า!
ค่ะ ธารรินคือเด็กเนิร์ดคนเดียวกับที่เขียน
เอาชีวิตรอดจากม.ปลายด้วยเกรดดีๆ และ เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย (โฆษณาบล็อกเก่า)
นั่นแหละ ตอนกลางคืนเด็กเนิร์ดก็ปาร์ตี้ไง...
ดึกขนาดไหน ก็ยังมีเมโทร แทรม หรือ บัสให้ใช้ได้ตลอด เราเริ่มกันที่บาร์ ชื่อ Trap
"นี่คือที่ๆเราจะ ช็อต(ดื่มแก้วเล็กๆ) เพราะมันถูกมาก ช็อตนึงไม่ถึงยูโรด้วยซ้ำไป! นึกถึงผับในอิตาลีสิ!" (ผับในอิตาลีแพงมาก บางที่ต้องจ่ายค่าเข้า เครื่องดื่มแก้วเล็กๆอย่างน้อยก็ 2-3 ร้อยบาทไทย)
ว่าแล้วบาร์บี้สั่ง Trap Shot ช็อตสูตรเด็ดของร้านที่ราคาแก้วละ 200 กว่า HUF คือไม่ถึง 30 บาท (100 HUF ตอนนั้นประมาณ 12 บาท) มา 4 แก้ว
"เธอจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในนั้นเพราะมันเป็น Trap (กับดัก)ไง" แล้วเราก็ติดกับกันไปคนละแก้ว
"ขอร้องเลย อย่าช็อตแบบคนไทย เธออยู่ในฮังการีนะ! ดูๆ! เธอต้องยกมันขึ้นมา...กรอกลงไปตรงๆ... แล้วกลืนเลยหมดแก้ว อย่าเอาลิ้นแตะ แบบนี้ถึงเรียกว่า ฮังกาเรียนช็อต!"
เราไปต่อกันที่ Peaches and cream ผับอาร์ แอนด์ บี ที่เพลงไม่ดีเท่าไหร่ แต่จ่าย 990 HUF (120 บาท!) แล้วดื่มอะไรก็ได้แบบบุฟเฟต์ทั้งคืน
คืนนี้มี Gold digger Party 555 คนคุมบาร์ถามเราว่า Single or taken? (โสดรึเปล่า) พอเราตอบว่าโสด (โสดมาก คำว่ามากอยู่ในใจ) ก็เอาแถบกระดาษสีชมพูมาพันข้อมือเรา ค่ะ! โสดแบบตีตราเลยไง
เราก็ดื่มกัน...นั่นแหละ ก่อนจะไปต่อเราสั่งเตกิลาร์อีกแก้ว บาร์บี้ที่หน้าตาเบลอๆก็สั่งอีกแก้วด้วย
"เธอไม่ต้องกินเป็นเพื่อนชั้นก็ได้"
"ไม่ได้ ชั้นจะปล่อยให้เธอชนะได้ไง เธอเป็นคนไทย ชั้นเป็นคนฮังการีนะ" และบาร์บี้ก็...ดื่มแก้วนั้น...เพื่อศักด์ศรีของคนฮังการีทั้งประเทศ 555
เราไปต่อที่เธค ชื่อ Instant ที่อยู่ใกล้ๆกัน เราช็อตที่ผับที่แรก เราดื่มที่ผับที่สอง แล้วเราก็เต้น...ที่นี่
มันเป็นเธคที่เจ๋งมาก ด้วยการตกแต่งประหลาดๆ และคนเยอะๆที่เต้นเบียดกันบนฟลอร์ เราอยากร้องไห้ที่เราไม่ได้เอาส้นสูงมาทริปนี้ด้วยกลัวเปลืองที่ เราเตี้ยอยู่แล้วยิ่งอยู่ในเธคที่ผู้หญิงทุกคนใส่ส้นสูง และผู้ชายทุกคนตัวสูงมาก (นึกภาพพวกไวกิ้งในหนัง นั่นไง! คนฮังการีเลย!) เรามองไม่เห็นดีเจเลย สาบาน!
ผู้ชายที่นี่ค่อนข้างจะถึงเนื้อถึงตัวมาก แต่เราปฏิเสธได้ ที่อิตาลี เวลาเราไม่อยากยุ่งกับใครในผับ เราจะแกล้งพูดภาษาอังกฤษ บอกว่าพูดอิตาเลียนไม่ได้ แล้วผู้ชายส่วนใหญ่จะหลบไปเองด้วยความเขิน แต่ที่นี่บาร์บี้บอกว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล ให้บอกไปเลยว่าไม่อยากเต้นด้วย
เราโดนชนบ่อยมาก เพราะคนอื่นมองไม่เห็นเรา โธ่! จนซักพักเราเริ่มเอะใจว่าทำไมเราเต้นได้อย่างปกติสุขมาก พอเราหันไปข้างหลัง (ไม่เจอบาร์บี้...เพื่อนรัก...แล้ว ) แต่เจอผู้ชายผมบลอนด์ตัวสูงที่หล่อมาก เอามือกันคนอื่นไม่ให้ชนเรา(มานานแล้ว) น่าร้าก! เราเต้นกันจนตีสองกว่า เราก็เรียกบาร์บี้กลับบ้าน
บาร์บี้ยอมกลับแต่โดยดี แต่ก่อนถึงป้ายรถบัส บาร์บี้ก็ตบบ้องหูเราเบาๆ... ค่ะ นางไม่ได้ทำ แต่คงอยากอยู่
"ทำไม-เธอ-ปล่อย-หนุ่ม-นั่น-ไป-ได้! เธอไม่เห็นเหรอว่าเค้าหล่อและฮ็อตขนาดไหน แถมแต่งตัวดี นิสัยดีอีก ผู้ชายฮังการีทั่วไปไม่น่ารักขนาดนี้นะบอกเลย! นี่ ถ้าเค้าไม่ได้อยู่กับเธอนะ ชั้นจะกระโดดใส่เค้า! พูดจริง!"
อย่าคิดว่าเพื่อนเราเป็นคนไม่ดี เค้าแค่ไม่ใช่ผู้หญิงไทยเท่านั้นเอง
เช้านี้บาร์บี้ "แงะ" เราออกมาจากเตียงโซฟาเล็กๆที่เรานอนเบียดกันทั้งคืน (เห็นมั๊ยว่านางเป็นไกด์สปิริตสูงขนาดไหน) แล้วก็พาเราไปกินอาหารเช้าง่ายๆที่ร้านนม เราไม่ค่อยได้กินอะไรเป็นการเป็นงาน เพราะเดินเที่ยวตลอดวัน แต่บาร์บี้ก็คอยซื้อขนมยัดใส่มือเราตลอด และเราก็กินหมดก่อนจะได้ถ่ายรูปซะด้วย
เช้านี้เรากินชามะนาวเย็นๆ กับขนมปังที่ข้างในมีคอทเตจชีส (ถ้าเพียงแต่เราออกเสียงได้ เราคงจะจำได้ว่ามันเรียกว่าอะไร) และจ่ายไปประมาณ 50 บาทไทย เราชอบบูดาเปสต์มาก เพราะของถูกเหมือนที่ไทยเลย ด้วยเงิน 50 บาทเรากินจนอิ่ม ถ้าเป็นที่อิตาลี อาจจะได้แค่โค้กกระป๋องเดียว
อากาศเช้านี้ฮ็อตกว่าผู้ชายผมบลอนด์เมื่อวานอีก เราไปที่รัฐสภาที่เห็นจากบนเขาเมื่อวาน
รัฐสภาทางด้านหลัง |
พยายามเขย่งให้สูงเหมือนคนฮังการี |
สถาปัตยกรรมแบบ นีโอ กอธิค |
เราไปต่อที่ Szent Istvàn Bazilika (St.Stephen's Basilica) โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดของเมือง ต้องเสียค่าเข้าชมด้านใน
ถนนนักท่องเที่ยว (สังเกตได้จาก Hard Rock Cafe) |
บาร์บี้พาเราไป Heroes' Square (อันนี้ไม่มีในหนังสือที่เราซื้อมา) จัสตุรัสที่เต็มไปด้วยรูปปั้นของเหล่า ฮีโร ตามชื่อ
ปราสาทนี้ก็เป็นพิพิธภัณฑ์หรืออะไรซักอย่าง แต่เราไม่ได้เข้าอีกตามเคย เราจะต้องกลับมาบูดาเปสต์อีกทีจริงๆ
ตึกสวยๆนี้เป็นหนึ่งในโรงอาบน้ำ/สปาหลายๆแห่งในบูดาเปสต์ ความจริงแล้ว ฮังการีมีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้
อยู่อิตาลีได้กินแต่น้ำพุ เพราะของแพง เอนจอยสมูธตี้ที่ถูกเหมือนที่ไทย |
ตุ๊กตุ๊ก?! |
555 เบียร์ติดล้อ เป็นอะไรที่เราชอบมาก มันคือรถแรงปั่น บรรทุกถังเบียร์ คนเมาจะดื่มเบียร์กัน(ตั้งแต่สายๆ) แล้วก็ปั่นส่งเสียงเฮฮากันไปตามถนน เห็นกี่คันๆก็อดขำไม่ได้
แล้วเวลาของเราในบูดาเปสต์ก็จบลง 2 วัน 1 คืน เรายังรู้สึกไม่พอเลยซักนิด (ทุกครั้งที่เรามองนู่นมองนี่เช่น เรือในแม่น้ำดานูบที่ตอนกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นไนท์คลับลอยน้ำ บาร์บี้จะหันมาทำตาเขียวใส่เราแล้วพูดว่า "ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลยนะ! เรามีเวลาไม่พอ! เธอต้องกลับมาใหม่!") ไม่อยากจะคิดถึงพวกทัวร์ 7 วัน 1000 ประเทศ...
ความจริงวันนี้มีเทศกาลดนตรีในเมือง และเราก็อยากอยู่ต่ออีกหน่อย แต่เจนนี่มีปาร์ตี้ที่บ้านคืนนี้ และถ้าเรากลับช้าเจนนี่จะมารับเราไม่ได้ บาร์บี้ไปส่งเราขึ้นรถไฟกลับเวียนนาที่สถาณี Kalenfold
เรากอดกัน...ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แต่ครั้งก่อนที่อิตาลีตอนที่เราร้องไห้กอดกัน บอกกันว่าเราจะเจอกันอีก ทั้งๆที่ลึกๆเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกมั๊ย เราก็ยังได้มายืนด้วยกันอีกตอนนี้
"ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่าง"
"ขอบคุณที่มา"
เราตัวคนเดียวอีกครั้งบนรถไฟกับเป้หนึ่งใบ กระเป๋าถือ และตั๋วราคา 26 ยูโร
คราวนี้เป็นตั๋วแบบจองที่นั่งแล้ว เรานั่งตรงข้ามกับผู้ชายหน้าตาแปลกๆ 2 คน และที่นั่งข้างๆเราเป็นคู่รักอีก 1 คู่ เราระวังตัวจนถึงขั้นหวาดระแวงนิดๆเวลาอยู่คนเดียว และตอนนี้เราง่วงมาก เพราะไม่ได้นอนมา 2 คืนแล้ว แต่ทุกคนพูดภาษาอังกฤษกัน แล้วบทสนทนามันก็น่าสนใจเกินกว่าที่เราจะไม่ตอบ ตอนที่ผู้ชายหน้าตาแปลกๆคนแรกถามว่าเรามาจากไหน
เรามาจากไทย หมายถึง เรามาจากอิตาลี คือเราไม่ใช่คนอิตาลี แต่ใช่ ช่วงนี้เราอยู่ในอิตาลี อยู่นานเกินจะเรียกว่ามาเที่ยว คือ เราเป็นคนไทยนะ...
คนกลุ่มนี้นั่งรถไฟมาด้วยกันตั้งแต่เช้าจนซี้กันแล้ว
ผู้ชายแปลกคนแรกเป็นคนปากิสถาน ที่มีครอบครัวอยู่ที่นอร์เวย์แล้วก็เคยทำงานในหลายๆที่ทั่วโลก
ผู้ชายแปลกคนที่ 2 เป็นคนอังกฤษจากแมนเชสเตอร์ที่ซื้อตัว Eurail แล้วนั่งจากแมนเชสเตอร์เรื่อยมาถึงกรีซ และเล่นน้ำทะเลโดยมีเมืองเอเธนส์เป็นฉากหลังมาแล้ว! ผู้ชายแปลกคนนี้ หยุดเที่ยวแทบทุกประเทศระหว่างอังกฤษถึงกรีก นอนแทบทุกคืนบนรถไฟ และจ่ายไปแค่ 190 ยูโรสำหรับการเดินทางทั้งหมด และตอนนี้กำลังนั่งกลับอังกฤษ ต้องเปลี่ยนรถไฟที่เวียนนา
คู่รัก 2 คนนั้น ผู้หญิงคนเวียนนาเสนอน้ำเย็นรสมินท์ให้เรากินฟรี ผู้ชายเป็นคนเซอร์เบีย ทั้งสองคนนั่งมาจากเซอร์เบีย กำลังกลับบ้านที่เวียนนา พอรู้ว่าเรากำลังจะไปเวียนนา ผู้ชายบอกเราว่า "เวียนนามีพิพิธภัณฑ์เยอะมากๆ แต่อย่าเสียเวลาไปกับพวกพิพิธภัณฑ์ ไปสวนสาธารณะแล้วมองดูผู้คน"
เราขยับแว่นกันแดดและเป้ของเรา เตรียมตัวลงที่สถานี wien meidling ในเวียนนาอีกครั้ง
ติดตามตอนต่อไปได้ที่ https://www.facebook.com/Tanrinh